Water Fasting คืออะไร ลดน้ำหนักได้จริงไหม มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
บริการ เสริมดั้ง ศัลยกรรมจมูก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากเกาหลี โดย K Beauty Hospital ติดต่อเรา Line : @kbeautyhosp
เชื่อว่าปัญหาเรื่อง “ความอ้วน” เป็นเรื่องที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในรูปร่างของตัวเองเป็นอย่างมาก จึงทำให้เกิดวิธีลดน้ำหนักรูปแบบต่างๆ เพื่อมาเป็นตัวช่วย เช่นเดียวกับวิธีการ "Water Fasting" การลดน้ำหนักที่มีมาตั้งแต่โบราณ ที่กลับกลายมาเป็นเทรนด์การลดน้ำหนักที่หลายคนเลือกใช้ในปัจจุบันนี้
การทำ Water Fasting คืออะไร ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม แล้วเป็นอันตรายกับร่างกายหรือเปล่า Sanook มีคำตอบมาฝากทุกคน
Water Fasting คืออะไร
Water Fasting คือการลดน้ำหนักรูปแบบหนึ่งด้วยการดื่มน้ำเปล่า (รวมถึงชาหรือกาแฟไม่ใช่น้ำตาล) เพียงอย่างเดียวโดยไม่รับประทานอาหารที่มีแคลอรี่เข้าร่างกาย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาทำประมาณ 1 - 3 วัน เพราะหากทำนานเกินไป ร่างกายอาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร
อย่างไรก็ตาม การทำ Water Fasting ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตต่ำ โรคเกาต์ คนที่กินอาหารเยอะ และคนที่กำลังตั้งครรภ์ควรงดการทำ Water Fasting โดยเด็ดขาด
Water Fasting ช่วยลดน้ำหนักจริงไหม
การทำ Water Fasting ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน้ำหนักที่ไม่อันตราย หากทำในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยวิธีนี้จะกระตุ้นให้ฮอร์โมนในร่างกายให้เกิดการเผาผลาญดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อร่างกายไม่ได้รับอาหารหรือเครื่องดื่มใดๆ นอกจากน้ำเปล่า ร่างกายก็จะไม่ได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต และจำดึงไขมันมาเป็นแหล่งพลังงานหลักแทน เรียกว่าคีโตซิส ซึ่งจะช่วยในการสลายไขมันและลดน้ำหนักนั่นเอง
ข้อดีของ Water Fasting
การทำ Water Fasting สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในวัฒนธรรมเพื่อสุขภาพกาย ใจ และจิตวิญญาณ ถือเป็นวิถีธรรมชาติในการชำระล้างและฟื้นฟูร่างกาย โดยข้อดีของการทำ Water Fasting มีดังต่อไปนี้
- ลดน้ำหนักได้ไวมาก
- ลดความดันโลหิตได้ดี
- ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย
- ชะลอวัย
- ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังหรือโรคร้ายแรง
ข้อเสียของ Water Fasting
แม้การทำ Water Fasting จะเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่อันตราย แต่วิธีก็มีข้อเสียเช่นกัน นั่นคือ
- นอนหลับยาก
- อ่อนเพลียได้ง่าย
- อารมณ์แปรปรวนอย่างต่อเนื่อง
วิธีทำ Water Fasting
สำหรับวิธีการทำ Water Fasting นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง นั่นคือ ก่อนทำ, ระหว่างทำ และหลังทำ ซึ่งมีขั้นตอนและการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
- ก่อนการทำ Water Fasting รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ปริมาณพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- ระหว่างการทำ Water Fasting ตั้งเป้าหมายการดื่มน้ำให้ได้ 2 - 3 ลิตรต่อวัน อย่าพยายามดื่มน้ำมากเกินไป และจิบน้ำระหว่างวันเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ พร้อมกันนั้นก็พักผ่อน ทำสมาธิ ยืดเส้นยืดสายร่างกาย แต่หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ
- หลังการทำ Water Fasting อาหารที่กินได้คืออาหารที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ผักใบเขียว น้ำผักหรือผลไม้ เป็นต้น หากกินอาหารที่เคี้ยวยากหรืออาหารเสริมทันที อาจส่งผลให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และเกิดอาการท้องเฟ้อ หรือท้องอืดได้
แม้การทำ Water Fasting จะทำให้น้ำหนักลดเร็ว แต่สิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักคือการใส่ใจสุขภาพ ซึ่งทำได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่เครียด ทั้งนี้ ต้องจำไว้เสมอว่าทุกวิธีการลดน้ำหนักจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก Sanook